ในสัมมนาเดียวกัน
มีการพูดถึงรูปแบบครอบครัวทุกวันนี้
ครอบครัวพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยว
ครอบครัวพ่อหรือแม่ไปทำงานที่อื่น
ครอบครัวพ่อและแม่รับไปจ้างต่างถิ่น
ครอบครัวปู่ย่าตายายเลี้ยงดูแทนพ่อแม่
ครอบครัวพ่อหรือแม่ติดคดี
ครอบครัวพ่อแม่หย่าร้าง
ครอบครัวลี้ภัย
ครอบครัวอพยพย้ายถิ่นฐาน
พร้อมกันนั้นวิทยากรนำเสนอ
วิธีการและรูปแบบช่วยเหลือ
แต่ละประเด็นแค่สั้นๆพอได้ใจความ
พร้อมให้การบ้านผู้เข้าร่วมสัมมนา
เจาะลึกสถานการณ์ครอบครัว
หามาตรการช่วยเหลือเยียวยา
ประสาการบรรยายในสัมมนา
จุดประเด็นจุดประกาย
แล้วนั้นต่างคนต่างหาทางตีบทให้แตก
เพราะถ้าจะพูดแล้ว
แค่ปัญหาครอบครัวปัญหาเดียว
สัมมนาเป็นแรมอาทิตย์เป็นแรมเดือน
ก็ยังเข้าถึงแก่นปัญหาอย่างถ่องแท้
รีบเร่งรวบรัดเสนอวิธีการเสร็จสรรพ
ก็คงไม่ได้ประโยชน์ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
บางคนที่ร่วมสัมมนาตีบทเดี๋ยวนั้น
ครอบครัวทุกวันนี้เป็นปัญหาโลกแตก
ครอบคลุมจักรวาลเลยก็ว่าได้
เพราะปัญหาอื่นๆที่เห็นในสังคม
ส่วนใหญ่ก็เริ่มต้นที่ปัญหาครอบครัวนี่แหละ
มันใหญ่เกินกว่าจะเยียวได้
แล้วก็ตีบทแตก…ต้องทำใจ
จบสัมมนาก็จบปัญหาอยู่แค่นั้น
เพราะไม่คิดเหมือนที่บางคนบอกให้คิด
“หากต้องการแก้ปัญหาโลก
จงเริ่มต้นแก้ปัญหาที่ตัวเองก่อนอื่น”
หากคำนึกว่าไม่มีปัญหาใดอยู่ที่คนเดียว
ทุกคนมีส่วนในปัญหานั้นด้วยเสมอ
ไม่มากก็น้อยไม่โดยตรงก็โดยอ้อม
หรือจะพูดในเชิงบวกง่ายๆ
“หากต้องการเปลี่ยนแปลงโลก
จงเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตัวเป็นอันดับแรก”
โดยส่วนตัวแล้ว
นอกจากปัญหาครอบครัวอพยพแล้ว
ยังมีปัญหาครอบครัวอพยพอีกรูปแบบหนึ่ง
ซึ่งไม่ค่อยได้ให้ความสนใจเท่าที่ควร
เป็นปัญหาการอพยพออกจากครอบครัว
ไม่ใช่ขนข้าวขนของออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น
แต่เป็นการอพยพ “ใจ” ไปอยู่นอกครอบครัว
ผ่านทางเครื่องมือสื่อสารทุกรูปแบบ
ตัวอยู่ในบ้านแต่ใจความสนใจอยู่ที่อื่น
คนอยู่กันในบ้านพร้อมหน้าพร้อมตา
แต่ต่างคนต่างจดจ่อกับโทรศัพท์มือถือ
แทบไม่สังเกตแทบไม่รู้แทบไม่สนใจกัน
อพยพใจออกจากครอบครัวอย่างต่อเนื่อง
เป็นปัญหาร้ายแรงยิ่งกว่าการอพยพย้ายถิ่นฐาน…เป็นไหนๆ*