แล้วแต่จะมอง (2) โดย บ.สันติสุข

พูดถึงความรัก ส่วนใหญ่ก็มักจะนึกถึงความรักที่มีการพรรณนาไว้อย่างเพราะพริ้งในบทเพลงบ้าง บทกวีบ้าง…
แล้วก็เข้าใจกันว่า นั่นคือทั้งหมดของความรัก
พอรักใครสักคน ก็เฝ้าแต่จะสอดส่องตรวจตราดูว่า ได้สิ่งที่มีการพรรณนาไว้แล้วหรือยัง อะไรบ้าง และอะไรอีกที่ยังไม่ได้…
ดูแล้วไม่ต่างกับการซื้อหาสิ่งของ ซื้อมาแล้วต้องตรวจสอบดูว่าใช้ได้ประโยชน์จริงตามที่มีการโฆษณาเอาไว้หรือไม่
ตรวจสอบอย่างละเอียดทุกขึ้นตอน จนพอใจนั่นแหละ จึงถือว่าซื้อหามาแล้วคุ้มค่า
ไม่เช่นนั้นก็จะโวยวาย นำกลับไปคืนร้านพร้อมต่อว่าต่อขาน แล้วก็เรียกร้องเอาเงินคืนหรือไม่ก็เปลี่ยนชิ้นใหม่แทนชิ้นเก่า
คนพรรค์นี้รักแล้วต้องได้ทุกอย่างตามที่มีการพรรณนาไว้ พอไม่ได้ตามนั้นก็ผิดหวังโวยวาย ต่อว่าต่อขาน เลิกรากันไป แล้วก็หันไปหารักใหม่ พร้อมกับปลอบใจตัวเองไป…คงยังไม่พบรักแท้ คงไม่ใช่เนื้อคู่ ลองมองหาดูใหม่…
ลองมองความรักกันแบบนี้ ก็คงต้องผิดหวังตั้งแต่เริ่มรักแล้ว…และคงจะไม่มีวันพบรักแท้ได้เลย
หลายคนเลยได้แต่หลงรักกับคำพรรณนาของความรักแทนที่จะรักคนที่มีเลือดมีเนื้อ
และนี่คือที่มาของการล่มสลายของความรักในชีวิตคู่

จริงๆ แล้วไม่มีสูตรสำเร็จของความรัก เพราะความรักไม่ใช่เป้าหมายหรือเส้นชัย
แต่ทว่าความรักเป็นจุดปล่อย จุดเริ่มต้น เริ่มต้นอยู่เรื่อยไป…
ความรักจึงต้องก่อต้องสร้างขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่แสดงออกมาในท่าที การกระทำ…แต่ละอย่าง ทีละอย่าง
…ความละเอียดอ่อน รอยยิ้ม ความเอื้ออาทร การดูแลเอาใจใส่ ความคิดถึง ความห่วงใย การเอาใจเขามาใส่ใจเรา การปกป้อง พึ่งพาได้ทุกเมื่อ ความทะนุถนอม ความสนใจ ความเข้าใจ การอภัย การคืนดี ความเสียสละ การยินยอม การเคารพ รับฟัง ให้-รับ อดทน การสัมผัส กอด จูบ…
แต่ละอย่างและทุกอย่าง ไม่ใช่เพียงครั้งเดียวจบ แต่ต้องเริ่มใหม่ ครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างไม่มีจบสิ้น
เพราะเหล่านี้คือโฉมหน้าต่างๆ ของความรัก

ร่างกายของคนเรามีเซลล์ที่ตายไปนาทีละ 300 ล้านเซลล์ แต่ถูกแทนที่จากการแบ่งเซลล์ของเซลล์ที่ยังมีชีวิตอยู่…ทำให้ร่างกายมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างปกติสุข
ความรักเพื่อจะอยู่ได้ จำต้องมีการสร้างเสริมขึ้นมาด้วยท่าทีและการกระทำแห่งความรักจำนวนนับไม่ถ้วน เพื่อไปทดแทนท่าทีและการกระทำที่ผิดต่อความรักที่เกิดจากการกระทบกระทั่งประสาทลิ้นกับฟันในการร่วมชีวิตอยู่ด้วยกัน…ทุกนาที ทุกชั่วโมง ทุกวัน
สำหรับความรัก การไม่รักก็ถือเป็นความผิดมหันต์แล้ว อย่าว่าแต่การทำผิดต่อความรักเลย
เพราะโดยธรรมชาติของความรักแล้ว มันเป็นดังพลังผลักดันออกจากตัวมันเอง ที่ต้องคอยหล่อเลี้ยงด้วยเชื้อเพลิง
เฉกเช่นแสงสว่างที่ให้ความสว่างออกไปจากตนเอง โดยต้องมีเชื้อเพลิงหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา
…แสงแดดมีเชื้อเพลิงจากดวงอาทิตย์ แสงเทียนเทียนจากการเผาไหม้และการหลอมละลายของเทียนไข แสงไฟฟ้าจากการแปลงพลังไฟฟ้าจากโรงผลิต แสงตะเกียงจากการเผาไหม้ของไส้ตะเกียงและน้ำมัน…
เชื้อเพลิงที่หล่อเลี้ยงความรักคือความรู้สึก ท่าทีและการกระทำ… แห่งความรัก ที่ให้พลังผลักดันแก่ความรักมากกว่าแสงสว่างเป็นไหนๆ
ความรักใดไม่มีพลังพอที่จะหลุดพ้นไปจากตนเอง ความรักนั้นก็เป็นแค่ความเห็นแก่ตัวที่แฝงตัวไว้มิดชิดแบนเนียนเบื้องหลังคำว่า “รัก”
ไม่สมจะเรียกว่ารักด้วยซ้ำ อย่างมากก็เรียกได้แค่ว่า “รักคุด” เท่านั้นเอง
เมื่อใดที่ยอมรับกันว่า ความรักในอุดมคติที่นักเขียนนิยายแต่งขึ้นมาจากจินตนาการ บ่อยครั้งแทบจะไม่มีอะไรใกล้เคียงกับชีวิตจริงเลย
เมื่อนั้นการล่มสลายของความรักก็จะลดน้อยลง*